วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

แบบฝึกหัดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตอน2

การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปีของนายหนึ่ง

การคำนวณภาษีตามวิธีที่ 1                                                                     (หน่วย:บาท)
เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 เงินเดือนสอนภาษาอังกฤษทั้งปี               960,000
หัก ค่าใช้จ่ายร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 60,000 (960,000 x 40%)              384,000                    576,000
เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 3 ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ทั้งปี                             1,200,000
หัก ค่าใช้จ่ายไม่ได้                                                                                      0                 1,200,000
เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5 ค่าเช่าบ้านทั้งปี                                      120,000
หัก ค่าใช้จ่ายร้อยละ 30 (960,000 x 30%)                                          36,000                      84,000
เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5 ค่าเช่าโรงเรือนทั้งปี                                 360,000
หัก ค่าใช้จ่ายร้อยละ 30 (960,000 x 30%)                                        108,000                    252,000
เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 6 จากการประกอบโรคศิลป์ทั้งปี                  600,000
หัก ค่าใช้จ่ายร้อยละ 60 (600,000 x 60%)                                        360,000                    240,000
เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 4 ดอกเบี้ยสลากออมสิน ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณ                     0
เหลือเงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย                                                                                           2,676,000
หัก  ลดหย่อนส่วนตัว                                                                        30,000
       ลดหย่อนภริยา                                                                           30,000
       ค่าลดหย่อนบุตร (17,000 x 2)                                                    34,000                      94,000
คงเหลือเงินได้สุทธิเพื่อคำนวณภาษี                                                                                 2,582,000

จำนวนภาษีตามการคำนวณภาษีวิธีที่ 1 คำนวณได้ดังนี้
    เงินได้สุทธิ                                    ช่วงเงินได้สุทธิ คูณอัตราภาษี                       จำนวนภาษี
    0-100,000                                    100,000 x 5% ได้รับยกเว้น                            0 บาท
100,001-150,000                             50,000 x 10% ได้รับยกเว้น                            0 บาท
150,001-500,000                                     350,000 x 10%                               35,000 บาท
500,001-1,000,000                                  500,000 x 20%                              100,000 บาท
1,000,001–2,582,000                             1,582,000 x 30%                             474,600 บาท
                                                                         รวม                                       609,600 บาท
การคำนวณภาษีตามวิธีที่ 2
เงินได้พึงประเมินทุกประเภทไม่รวมประเภทที่ 1 (1,200,000+120,000+360,000+600,000)     2,280,000
คำนวณภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 ของ 2,280,000 (2,280,000 x 0.5%) = 11,400

การคำนวณภาษีที่ต้องชำระ
ภาษีเงินได้สิ้นปีที่ต้องเสีย (ตามวิธีที่ 1)                                                                                609,000
ภาษีเงินได้ครึ่งปีที่นายหนึ่งชำระไว้แล้ว                                                                                           0
ภาษีเงินได้ครึ่งปีที่นางสองชำระไว้แล้ว                                                                                     7,250
คงเหลือภาษีที่ต้องชำระ                                                                                                    602,350

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

แบบฝึกหัด ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

โจทย์แบบฝึกหัด ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ชุดวิชา 322447 การบัญชีภาษีอาการและการวางแผนภาษี

นายหนึ่ง และนางสอง เป็นสามีภริยากัน มีความเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตลอดปีภาษี และอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี 2553 ทั้งคู่ มีบุตรด้วยกัน 2 คน บุตรทั้งสองกำลังศึกษาอยู่ในประเทศไทย บุตรคนแรกอายุ 19 ปี ศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง บุตรคนที่ 2 อายุ 9 ปี ศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษา
ในปีภาษีนี้นายหนึ่งมีเงินได้ดังต่อไปนี้
1.เงินได้จากเงินเดือนจากการสอนภาษาอังกฤษ ทั้งปี 960,000 บาท
2.เงินได้จากค่าแห่งกู๊ดวิลล์ เดือนละ 100,000 บาท รวมทั้งปีเป็นเงิน 1,200,000 บาท
3.เงินได้ค่าเช่าบ้าน รับจากผู้เช่า เดือนละ 10,000 บาท รวมทั้งปีเป็นเงิน 120,000 บาท
นางสองมีเงินได้ในปีภาษี ดังนี้
1.เงินได้ค่าเช่าจากการให้เช่าโรงเรียนเพาะเห็ดหอม เดือนละ 30,000 บาท รวมทั้งปี เป็นเงิน 360,000 บาท
2.เงินได้จากการประกอบโรคศิลป์ เดือนละ 50,000 บาท รวมทั้งปีเป็นเงิน 600,000 บาท
3.เงินได้จากดอกเบี้ยสลากออมสิน เดือนละ 9,250 บาท รวมทั้งปีเป็นเงิน 111,000 บาท

คำถาม: 1.นายหนึ่งและนางสองต้องนำเงินได้ต่าง ๆ ข้างต้นมายื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปี ในนามของผู้ใด เพราะเหตุใด
2.นายหนึ่งและนางสอง ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี และสิ้นปี เป็นเงินเท่าใด แสดงการคำนวณประกอบ

หมายเหตุ: การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับ ตั้งแต่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป ถ้าหากจำนวนภาษีตามวิธีที่ 2 มากกว่าวิธีที่ 1 และมีจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 5,000 บาท ผู้มีเงินได้จะได้รับยกเว้นภาษีที่ต้องเสียตามวิธีที่ 2 แต่ยังคงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามวิธีที่ 1 (พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 480) พ.ศ.2552)


ข้อ 1   ตอบ นายหนึ่ง และนางสองต้องยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตอนสิ้นปีในนามของนายหนึ่ง เพราะในกรณีสามีภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี และต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ให้ถือเงินได้ของภริยาเป็นเงินได้ของสามี และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปีของนายหนึ่ง

การคำนวณภาษีตามวิธีที่ 1                                                                     (หน่วย:บาท)
เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5 ค่าเช่าบ้าน ครึ่งปี                                                                      60,000
หัก ค่าใช้จ่ายร้อยละ 30 (60,000 x 30%)                                                                             18,000
เหลือเงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย                                                                                                42,000
หัก ลดหย่อนส่วนตัว                                                                          15,000
     ค่าลดหย่อนบุตร (8,500 x 2) /2                                                      8,500                      23,500
คงเหลือเงินได้สุทธิเพื่อคำนวณภาษี                                                                                      18,500

จำนวนภาษีตามการคำนวณภาษีวิธีที่ 1 คำนวณได้ดังนี้
เงินได้สุทธิ                ช่วงเงินได้สุทธิ คูณอัตราภาษี                            จำนวนภาษี
0-18,500                 18,500 x 5% ได้รับยกเว้น                                0 บาท

การคำนวณภาษีตามวิธีที่ 2
เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5 ค่าเช่าบ้าน ครึ่งปี                                 60,000
คำนวณภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 ของ 60,000 (60,000 x 0.5%) =          300
ไม่ถึง 5,000 บาท ได้รับยกเว้น

เพราะฉะนั้น นายหนึ่งไม่ต้องเสียภาษีครึ่งปี

การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปีของนางสอง

การคำนวณภาษีตามวิธีที่ 1                                                                     (หน่วย:บาท)
เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5 ค่าเช่าโรงเรือนฯ ครึ่งปี                            180,000
หัก ค่าใช้จ่ายร้อยละ 30 (180,000 x 30%)                                          54,000                    126,000
เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 6 การประกอบโรคศิลป์ ครึ่งปี                     300,000
หัก ค่าใช้จ่ายร้อยละ 60 (300,000 x 60%)                                        180,000                    120,000
เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 4 ดอกเบี้ยสลากออมสิน ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณ                     0
เหลือเงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย                                                                                              246,000
หัก ลดหย่อนส่วนตัว                                                                          15,000
     ค่าลดหย่อนบุตร (8,500 x 2) /2                                                      8,500                      23,500
คงเหลือเงินได้สุทธิเพื่อคำนวณภาษี                                                                                    222,500

จำนวนภาษีตามการคำนวณภาษีวิธีที่ 1 คำนวณได้ดังนี้
    เงินได้สุทธิ                            ช่วงเงินได้สุทธิ คูณอัตราภาษี                          จำนวนภาษี
    0-100,000                                  100,000 x 5% ได้รับยกเว้น                            0 บาท
100,001-150,000                             50,000 x 10% ได้รับยกเว้น                            0 บาท
150,001-222,500                                      72,500 x 10%                                 7,250 บาท

การคำนวณภาษีตามวิธีที่ 2
เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5 และ 6 (180.000 + 300,000)           480,000
คำนวณภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 ของ 60,000 (480,000 x 0.5%) =     2,400

เพราะฉะนั้น นางสองต้องเสียภาษีครึ่งปี ตามวิธีที่ 1 จำนวน 7,250 บาท

สรุปย่อ LAW2036 ที่มาของสิทธิมนุษยชน

สรุปย่อ วิชา สิทธิมนุษยชน (LW446, LA236, LAW2036)
เรื่อง ที่มาของสิทธิมนุษยชน

มาจากแนวคิดในเรื่องกฎหมายธรรมชาติ หมายถึง กฎหมายซึ่งบุคคลอ้างว่ามีอยู่ตามธรรมชาติ คือ เกิดมีมาเองโดยมนุษย์ไม่ได้ทำขึ้น เป็นกฎหมายที่อยู่เหนือรัฐและใช้ได้โดยไม่จำกัดกาลเทศ
แต่เดิมมนุษย์มีชีวิตอยู่ตามสภาวะธรรมชาติไม่มีกฎระเบียบทางสังคมและการเมือง ต่อมาเมื่อมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ได้ตกลงกันว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และจะเคารพซึ่งกันและกัน มีข้อตกลงว่าจะเคารพเชื่อฟังผู้ปกครองที่ทุกคนยอมรับ นี่เป็นลักษณะของทฤษฎีสัญญาประชาคม และลักษณะที่สำคัญถือว่าประชาชนคือที่มาของอำนาจทางการเมืองและเห็นว่ารัฐคือสิ่งสมมุติทางกฎหมาย

ฮูโก  โกรเชียส ได้ให้คำนิยามของกฎหมายธรรมชาติว่า หมายถึง “บัญชาของเหตุผลอันถูกต้องที่ชี้ว่าการกระทำอันหนึ่งมีความต่ำทรามในทางศีลธรรมหรือมีความจำเป็นในทางศีลธรรม โดยดูจากคุณภาพของการกระทำว่าเป็นไปตามธรรมชาติ หรือชัดแย้งกับธรรมชาติที่มีเหตุผลของมนุษย์”
ตามแนวคิดนี้ กฎหมายธรรมชาติมีที่มาจากธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ต้องอาศัยอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า จึงมีลักษณะเหมือนธรรมชาติของมนุษย์ คือ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และเป็นกฎหมายที่สากลใช้บังคับกับทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา และทุกยุคทุกสมัย
ฮูโก โกรเชียส อธิบายวิธีค้นหาเหตุผลที่สอดคล้องกับกฎหมายธรรมชาติ
1.ข้อกำหนด กฎเกณฑ์ใดมีสภาพที่มีเหตุผลและสอดคล้องกับธรรมชาติ เป็นกฎหมายธรรมชาติ เช่น พรบ.เวนคืน ก็เป็นกฎหมายธรรมชาติ
2.ดูข้อกำหนด กฎเกณฑ์ ว่ามีลักษณะเป็นสากลของธรรมชาติไหม เช่น ชายหญิงสมรสกัน

โธมัส ฮอบส์ นักปราชญ์ชาวอังกฤษ เห็นว่า ภายใต้สภาวะที่ไม่มีสังคม มนุษย์มีแต่ความหวาดระแวงไม่มีความปลอดภัย มีการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ มุ่งแสวงหาประโยชน์ใส่ตนโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น มนุษย์จึงต้องการหลีกหนีสภาวะตามธรรมชาตินี้โดยมาอยู่รวมกัน มีข้อตกลงในการอยู่รวมกันอย่างสันติ นั่นคือ สัญญาประชาคม แต่ก็ยังไม่มีหลักประกันเพียงพอ จึงจำเป็นต้องมอบสิทธิตามธรรมชาติของตนให้แก่บุคคลหนึ่งหรือกลุ่มบุคคลเพื่อทำหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ทุกคน
สัญญาประชาคมประกอบด้วย สัญญา 2 สัญญา
1.สัญญาที่มนุษย์หลีกหนีสภาวะตามธรรมชาติมาอยู่ร่วมกันเป็นรัฐ
2.สัญญาที่ทำไว้กับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลให้มีอำนาจในการปกครอง มีอำนาจในการออกฎหมาย
**แนวคิดนี้การที่มีสัญญาประชาคมจะทำให้มนุษย์เสียสิทธิตามธรรมชาติ ถ้ารัฐใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงราษฎร ราษฎรก็อาจโค่นล้มได้

จอห์น ล็อก นักปราชญ์ชาวอังกฤษ เชื่อว่ามนุษย์สละละทิ้งสภาวะตามธรรมชาติด้วยเหตุผลสองประการ
1.สภาวะตามธรรมชาติ ขาดองค์กรที่กระทำหน้าที่ลงโทษผู้ละเมิดสิทธิตามธรรมชาติของผู้อื่น
2.ขาดองค์กรที่กระทำหน้าที่คุ้มครองป้องกันมิให้สิทธิในร่างกายและทรัพย์สินถูกล่วงละเมิด
เมื่อมนุษย์ร่วมกันทำสัญญาประชาคม ก็เพื่อมีหลักประกันความมั่นคงแห่งสิทธิตามธรรมชาติ ดังนั้นแม้ว่าประชาคมจะมีอำนาจจำกัดสิทธิเสรีภาพของสมาชิกประชาคมให้น้อยลงได้ แต่ย่อมไม่อาจทำลายล้างสิทธิเสรีภาพทั้งปวงของสมาชิกซึ่งเคยมีอยู่ในสภาวะตามธรรมชาติได้
**แนวคิดนี้การที่มีสัญญาประชาคมจะทำให้มนุษย์เสียสิทธิตามธรรมชาติบางส่วน ถ้าสิทธิตามธรรมชาติใดทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันโดยปกติสุขไม่ได้สิทธินั้นต้องเสีย

จัง จาคส์ รุสโซ เห็นว่า เสรีภาพและความเสมอภาคเป็นแก่นแท้ของความสุขของมนุษย์ เมื่อมนุษย์รวมตัวกันจึงต้องคิดค้นหารูปแบบการวมตัวเป็นสังคมที่สามารถให้หลักประกันอย่างเพียงพอแก่เสรีภาพและความเสมอภาค
ทฤษฎีสัญญาประชาคมเป็นที่มาของ “อำนาจอธิปไตยของปวงชน” เกิดจากเจตจำนงร่วมกันของประชาชนตามความเห็นของรุสโซ สัญญาประชาคมก่อให้เกิดผลหลายประการ ประการแรก ร่างกายชีวิต และทรัพย์สิน ได้รับการคุ้มครองจากสังคมร่วมกัน ประการที่สอง เจตนารมณ์ร่วมกันของสังคมนี้ เป็นเจตนารมณ์ของสังคม ไม่ใช่ของบุคคล หรือกลุ่มคน
**แนวคิดนี้สัญญาประชาคม ทำให้มนุษย์ได้สังคมที่มีระเบียบทางการเมือง สังคมที่มีระเบียบทางการเมืองเป็นผลิตผลของวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ได้กลับมามีสิทธิเสรีภาพในสภาวะตามธรรมชาติที่เคยมีอยู่ดั้งเดิม แนวคิดนี้ไม่ทำให้มนุษย์เสียสิทธิตามธรรมชาติ

ดังนั้นที่มาของสิทธิมนุษยชน มาจากกฎหมายธรรมชาติ กฎหมายธรรมชาติ คือ กฎหมายที่เกิดขึ้นเอง โดยมนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้น เป็นกฎหมายที่อยู่เหนือรัฐ และใช้บังคับได้โดยไม่จำกัดสถานที่และเวลา

แนวคิดเหล่านี้มีทัศนคติที่คล้ายคลึงกันว่า ผู้ปกครองที่ชองจะต้องได้รับอำนาจการปกครองจากผู้ที่อยู่ใต้ปกครอง ประชาชนในฐานะปัจเจกบุคคลมีสิทธิหรือเรียกร้องสิทธิอันเป็นสิทธิตามธรรมชาติของตนซึ่งไม่มีผู้ใดจะขัดขวางหรือพรากเอาไปได้ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางสังคมที่ดีขึ้น เช่น กระบวนการพิจารณาคดีที่มีการไต่สวนที่โหดร้ายทารุณ เรื่องทาส เรื่องการควบคุมกุมขังผู้กระทำความผิด เรื่องนักโทษถูกปฏิบัติในสภาพที่เลวร้าย เป็นต้น ส่งผลให้มีการต่อต้านลัทธิอำนาจนิยม และเป็นพื้นฐานของการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย