วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2558

Review เมื่อคุณหมอไม่รู้จักอาหารเสริมบำบัดโรค...ความตาย อาจ...กำลังครอบงำคุณ


ชื่อ เมื่อคุณหมอไม่รู้จักอาหารเสริมบำบัดโรค...ความตาย อาจ...กำลังครอบงำคุณ
เขียน RAY D.STRAND, M.D.
สนพ. Animate Group
แปล พรหมพัฒณ ธรรมะรัตน์จินดา ที่ปรึกษาทางการแพทย์ น.พ.ยรรยงศ์ ศรัทธาสิริ
ราคา 190 บาท
จำนวน 317 หน้า

              ก่อนที่เราจะพูดถึง "สารอาหารบำบัดโรค" เราต้องรู้ก่อนว่าสาเหตุของการเกิดโรคคืออะไร
สาเหตุส่วนใหญ่ของการเกิดโรคต่าง ๆ นั้นมาจากความเสื่อมของร่างกาย หรือที่เรียกว่า "oxidative stress"   หรือการที่เซลล์ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ เป็นกระบวนการเดียวกับการที่เหล็กเกิดสนิม หรือแอปเปิ้ลที่ตัดแล้วเป็นสีน้ำตาลนั่นแหละ

               คิดกันง่าย ๆ ร่างกายเราก็เหมือนเครื่องจักรนั่นแหละ โดนอากาศ ความชื้น ก็เกิดสนิม (คือแค่เราหายใจเข้าออกธรรมดากระบวนการ oxidative stress ก็เกิดแล้ว) เราเติมเชื้อเพลิงให้เครื่องจักร เครื่องจักรเผาไหม้เชื้อเพลิงนั้นเพื่อใช้ทำงาน (เปรียบกับเรากินอาหารเข้าไป และใช้พลังงานทำกิจกรรมต่าง ๆ) การเผาไหม้นั้นก่อให้เกิดตะกอนน้ำมันเก่า ๆ เครื่องจักรดำบ้าง มีฝุ่นละอองลอยในอากาศและไปโดนส่วนอื่นของเครื่องจักร ทำให้เครื่องจักรเก่าเร็ว เช่นเดียวกันการเผาผลาญในร่างกายเรา การทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย มันให้ประโยชน์ 90% แต่อีก 10% มันจะเกิดอนุมูลอิสระ



                สรุปง่าย ๆ เลยว่าร่างกายเราเสื่อมลงทุกวัน แม้จะใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ดูแลสุขภาพอย่างดี แล้วทำไมหมอถึงบอกว่าไม่ควรกินอาหารเสริมละ หนึ่งเลยนะคือมันเปลือง ถ้าคุณทานอาหารถูกต้องตามหลักโภชนาการ มันไม่จำเป็นเลย สองคือหมอต้องการปกป้องคุณจากสารอาหารแปลก ๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาหารเสริมบางอย่างถ้ากินไม่ถูกวิธีก็มีข้อเสียมากกว่าข้อดี

                หมอแนะนำว่าเราควรตรวจสุขภาพทุกปี แต่ในความจริงการตรวจสุขภาพประจำปีไม่ทำให้เราพบโรค กว่าคุณจะพบว่าตัวเองป่วย เจ้าอนุมูลอิสระก็ทำให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมไปมากแล้ว มันใช้เวลาเป็น 10-20 ปี กว่าจะเริ่มมีอาการ หมอจะพบตอนนั้น และแนะนำให้คุณตรวจพิเศษ และนั่นจะทำให้คุณรู้ว่าคุณป่วยอะไร

                 บางคนโชคดี โรคนั้นสามารถรักษาแต่เนิ่น ๆ ได้ แต่บางคนไม่โชคดีอย่างนั้น แม้จะพบว่าป่วยแต่เนิ่น ๆ การรักษาอาจจะยื้อชีวิตไปได้ 5 ปี หรือ 10 ปี หรืออาจจะมากกว่าถ้าดูแลตัวเองดี ๆ

                 ไม่ใช่การตรวจสุขภาพไม่ช่วยนะ มันเป็นวิธีป้องกันอย่างหนึ่งที่ควรทำ องค์ประกอบของการมีสุขภาพที่ดี คือการออกกำลังกาย คุณควรออกกำลังกาย 3 ครั้งต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย และไม่ควรออกกำลังกายหนักเกินไป เพราะการออกกำลังกายที่หนักมาก ๆ จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ นอกจากการออกกำลังกายควรทานอาหารที่มีประโยชน์ คุ้น ๆ ไหมคะ เหมือนที่หมอแนะนำเลยใช่ไหม ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่



                 คุณรู้ไหมว่าในความเป็นจริงเรากินไม่ครบหรอก ถึงครบปริมาณก็ไม่ถึง ผู้ชายวันทำงานต้องการพลังงาน 2000 กิโลแคลอรี่ ผู้หญิงวัยทำงานต้องการพลังงาน 1600 กิโลแคลอรี่ เพื่อให้ได้รับวิตามินครบ คุณต้องทานผัก - ผลไม้ให้ครบทั้ง 5 สี ใน 1 วัน เพื่อให้ได้วิตามินซีในปริมาณที่ร่างกายต้องการ ต้องดื่มน้ำส้มคั้นสดถึง 10.5 แก้ว หรือกินกีวี่ 14 ผล ต่อวัน ถ้าอยากได้วิตามินดีก็ต้องดื่มนม 6 ถ้วย หรือไข่แดงขนาดใหญ่ 22 ฟอง และถ้าคุณป่วย ก็ต้องทานมาขึ้น

                  นี่แค่ตัวอย่างเท่านั้น คุณจะเห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะได้สารอาหารครบถ้วนทุกหมู่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันนั้นหมดห่วงเลย เพราะคุณคงทานเกินมากกว่าขาด แต่ผักผลไม้ที่ให้วิตามินนี่สิ เอาจริง ๆ นะถ้าอยากได้วิตามิน B6 ต้องกินกล้วยขนาดกลางถึง 41 ผล ใครจะบ้ากินกล้วยมากขนาดนั้นใน 1 วัน ไหนจะวิตามินอย่างอื่นอีก ถ้าคุณสามารถกินได้นะ กระเพาะคุณคงเป็นหลุมดำแล้วละ

                  เพราะเราไม่สามารถกินได้มากมายขนาดนั้น เราจึงควรกินอาหารเสริมยังไงละ แนะนำให้อ่านเล่มนี้นะคะ คุณหมอที่แต่งอธิบายสาเหตุการเกิดโรคเอาไว้หลายโรค สารอาหารที่จำเป็น หนังสือเล่มนี้ตอบทุกข้อสงสัยของคุณเกี่ยวกับอาหารเสริมบำบัดโรค

ปริมาณวิตามิน และแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558

ความเชื่อ คือสิ่งที่ต้องเคารพ

               


                เริ่มต้นหัวเรื่องมาออกแนวไสยศาสตร์เลย แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ไสยศาสตร์นะคะ เป็นเรื่องของความเชื่อล้วน ๆ เชื่อในทุกสิ่ง ตัวอย่างเช่น

- A เป็นชาวนา นายกC มีนโยบายช่วยเหลือชาวนา เอได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ ส่วน B เป็นชาวนาที่เสียประโยชน์จากโครงการนี้

A บอกว่าโครงการนี้ดี แต่ B บอกว่าไม่ดี 

- A เป็นนักลงทุน ลงทุนในหุ้นและได้กำไรมากมาย B เป็นนักลงทุนเช่นกัน และขาดทุนจากการเล่นหุ้นจนแทบหมดตัว

A บอกว่าหุ้นไม่เสี่ยง แต่ B บอกว่าหุ้นเสี่ยง

- A ลาออกจากงานไปทำธุรกิจส่วนตัวแล้วประสบผลสำเร็จ  ส่วน B ลาออกไปทำธุรกิจ แล้วเจ๊ง จนต้องกลับไปทำงานที่เดิม

A แนะนำให้เพื่อน ๆ ลาออก แต่ B จะห้ามเมื่อเพื่อนคิดจะลาออก

- A แต่งงานกับสาวเหนือ และมีคู่ชีวิตที่ดี B แต่งงานกับสาวเหนือ แต่ได้คู่ชีวิตที่ไม่ดี

A จะบอกใคร ๆ ว่าสาวเหนือเป็นคนน่ารัก  ส่วน B จะบอกว่าสาวเหนือมีแต่ชอบหลอก และไม่สนับสนุนให้เพื่อนแต่งงานกับสาวเหนือ

- A ทานยาลดน้ำหนักยี่ห้อหนึ่งแล้วได้ผล B ทานยี่ห้อเดียวกับ A แต่ไม่ได้ผล

A จะแนะนำให้ใครที่ต้องการลดทานยานี้ ส่วน B จะห้ามไม่ให้คนอื่น ๆ กิน

- A เชื่อว่าศาสนาของตนไม่อาจให้คำตอบที่ต้องการได้ และเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นที่ให้คำตอบในชีวิตเขาได้ B ลองเปลื่นศาสนาแล้ว และพบว่าศาสนาเดิมนั้นดีอยู่แล้ว

A จะแนะนำคนที่ยังหาคำตอบในชีวิตไม่พบเปลี่ยนศาสนา ส่วน B จะบอกทุกคนว่าศาสนาที่ตนนับถือนั้นดีที่สุด

                 พวกคุณจะเห็นว่า ความคิดของ A และ B คือความเชื่อ ซึ่งเกิดจากประสบการณ์จริง ส่วนบุคคล และพวกเขาพยายามแนะนำความเชื่อนี้ของตัวเองให้ผู้อื่น

                 ถ้าแค่บอกเล่าธรรมดาก็ไม่เป็นอะไร แต่คนเหล่านี้จะยัดเยียดสิ่งที่เขาคิดให้เราคิดเหมือนกับเขา เราจะพบข่าวสารที่เป็นความเชื่อนี้กับทุกสิ่งในชีวิตของเรา มันเยอะมาก ๆ จนเราก็ไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีและเชื่อตามในทันทีทันใด

                 การยัดเยียดความเชื่อ เป็นเพียงสิ่งที่น่ารำคาญเล็ก ๆ ในชีวิตของเราเท่านั้น แต่สิ่งที่รับไม่ได้จริง ๆ นั่นคือการไม่เคารพความคิดของกันและกัน ไม่ให้เกียรติกัน

                 จะเห็นได้ว่าปัจจุบันจะมีการประนามคนที่คิดไม่เหมือนกันออกสื่อมากขึ้น ถ้าแกไม่คิดเหมือนฉัน แกมันโง่ ต่างฝ่ายก็ต่างด่ากันว่าโง่ สรุปนะ พวกคุณทั้งสองฝ่ายนั่นแหละที่โง่ 

                 ลองคิดดูสักนิดนะ ถ้าพี่น้องไรต์เชื่อเหมือนคนอื่น ๆ ว่ามนุษย์บินไม่ได้ โดนมนุษย์ตามย่อหน้าข้างบนด่าว่าแล้วท้อแท้ ล้มเลิก ป่านนี้พวกเราไม่มีเครื่องบินใช้กันแล้ว



"ความเคารพ คือ อะไร ?
            ความเคารพ หมายถึง ความตระหนัก ซาบซึ้ง รู้ถึงคุณความดีที่มี อยู่จริงของบุคคลอื่น ยอมรับนับถือความดีของเขาด้วยใจจริง แล้วแสดงความนับถือต่อผู้นั้นด้วยการแสดงความอ่อนน้อม อ่อนโยน อย่างเหมาะสม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
            วัตถุทั้งหลายในโลก ต่างมีคุณสมบัติเฉพาะตัวของมัน ถ้าใครทราบคุณสมบัติเหล่านั้นตามความเป็นจริง ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มาก เช่น นักวิทยาศาสตร์รู้คุณสมบัติของแม่เหล็ก ก็นำไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ รู้คุณสมบัติของแร่เรเดียม  ก็นำไปใช้รักษาโรคมะเร็งได้
            แต่การที่จะรู้คุณสมบัติตามความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ นั้น  ทำได้ยากมากเป็นวิสัยของนักปราชญ์ ของผู้มีปัญญาเท่านั้น
            เช่นกัน  คนทั้งหลายในโลกต่างก็มีคุณความดีในตัวต่างๆ กันไป  มาก บ้างน้อยบ้างไม่เท่ากัน ผู้ใดทราบถึงคุณความดีของบุคคลทั้งหลายได้ตามความเป็นจริง  ก็จะเป็นประโยชน์  ทำให้มีโอกาสที่จะถ่ายทอดคุณความดีนั้นๆ จาก  ผู้อื่นมาสู่ตนเอง แต่การที่จะสามารถรู้เห็นถึงคุณความดีของผู้อื่นก็ทำได้ยาก ยิ่งกว่าการรู้คุณสมบัติของวัตถุต่างๆ เพราะมีกิเลสมาบังใจ เช่น มีความคิดลบหลู่คุณท่านบ้าง  ความไม่ใส่ใจบ้าง  ความทะนงตัวบ้าง  ทำให้มองคนอื่นกี่คนๆ ก็ไม่เห็นมีใครดี คนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี คนไหนก็ไม่ดี ไม่เห็นมีใครดีสักคน  ถ้าจะมีก็เห็นจะมีอยู่คนเดียว...ใคร? ตัวเอง
            คนพวกนี้เป็นพวกตาไม่มีแวว  คือตาก็ใสๆ ดี  แต่ไม่เห็นเพราะขาดความสังเกต มองคุณความดีของคนอื่นไม่ออก เมื่อมองความดีของเขาไม่ออก ก็ไม่สนใจที่จะถ่ายทอดเอาความดีของเขาเข้ามาสู่ตัวเอง
            ดังนั้น คนที่มีปัญญามากจนกระทั่งตระหนักในคุณความดีของผู้อื่น จึงจัดเป็นคนพิเศษจริงๆ เพราะใจของเขาได้ยกสูงขึ้นแล้ว พ้นจากความถือตัวต่างๆ เปิดกว้างพร้อมที่จะรองรับความดีจากผู้อื่นเข้าสู่ตน คนชนิดนี้คือ คนที่มีความเคารพ"
ที่มา : หนังสือมงคลชีวิตบทที่ 22

                 มนุษย์อีกพวกที่น่ารังเกียจพอ ๆ กับพวกแรก คือพวกที่พร้อมจะเหยียบเราให้จมดินเมื่อเราล้ม สมมุติว่าคุณลาออกจากงานประจำ ไปทำอาชีพอิสระ และมันขาดทุนจนหมดสิ้น เพื่อนของคุณจะคอยปลอบใจ และหาทางช่วยเหลือ เขาอาจแนะนำให้คุณกลับมาทำงานที่เดิมก่อน แต่ถ้าคุณต้องการทำธุรกิจจริง ๆ เขาอาจช่วยแนะนำคอร์สเรียนเพิ่มทักษะ หรือคนที่จะช่วยคุณได้

                 แต่คุณอาจพบว่ามีเพื่อนบางคน พูดกับคุณว่า "ฉันบอกเธอแล้ว เป็นไงละ การลงทุนมันเสี่ยง เธอก็ไม่เชื่อ" และถ้าคุณยังยืนยันว่าจะทำอยู่เหมือนเดิม คนพวกนี้จะนินทาคุณลับหลัง และจะคอยรอดูความล้มเหลวของคุณอย่างสะใจ!!!

                 พวกเขารู้ดีว่าเหรียญมี 2 ด้าน ทุกอย่างในโลกมีทั้งดีและเสียทั้งนั้น ลงทุนก็มีได้และเสีย มีทั้งคนที่รวย และคนที่จน แต่คนพวกนี้ไม่ต้องการให้คุณรวย!!! เขาไม่ต้องการเห็นคุณมีชีวิตที่ดีกว่าเขา เขาอยากเห็นความล้มเหลว และแสร้งทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีคอยปลอบและให้คำปรึกษาคุณ เพราะมันทำให้พวกเขาดูฉลาดขึ้นมาทันที และคุณดูโง่ทันทีไงละ!!




ข้อเตือนใจ
            ดังได้กล่าวแล้วว่า ความเคารพ คือการตระหนักในความดีของคนอื่นและสิ่งอื่น  ซึ่งผู้ที่จะตระหนักในความดีของคนอื่นและสิ่งอื่นได้  จะต้องมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งเป็นทุนอยู่ในใจก่อนคือมีปัญญา  ความรู้จักผิดชอบชั่วดีพอสมควร
            และเมื่อเราแสดงความเคารพออกไปแล้ว  อีกฝ่ายหนึ่งก็จะรู้ทันทีว่า  “อ้อ !คนนี้เขามีคุณธรรมสูง มีความเคารพและมีแววปัญญา” เขาก็เกิดความตระหนักในความดีของเรา  และแสดงกิริยาเคารพต่อเราที่เรียกว่า รับเคารพ
            แต่ถ้าผู้ใด เมื่อมีคนมาแสดงความเคารพแล้วเฉยเสีย ไม่แสดงความเคารพตอบ ผู้นั้นจัดเป็นคนน่าตำหนิอย่างยิ่ง เพราะการเฉยเสียนั้นเท่ากับบอกให้ชาวโลกรู้ว่า  “ตัวข้านี้ แสนจะโง่เง่าหามีปัญญาพอที่จะเห็นคุณความดีในตัวท่านไม่” เท่านั้นเอง
            คนที่ไม่อยากแสดงความเคารพคนอื่น หรือเมินเฉยต่อการเคารพตอบ มักเป็นเพราะเข้าใจว่าการแสดงกิริยาเคารพออกมานั้น  เป็นการลดสง่าราศรีของตนแล้วเอาไปเพิ่มให้แก่คนอื่น เลยเกิดความเสียดายเกรงว่าตัวเองจะไม่ใหญ่โต หรือเกรงว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าตัวเองใหญ่โต  นั้นเป็นการคิดผิดอย่างยิ่ง
ที่มา มงคลชีวิตบทที่ 22

                     เลิกฟังคำพูดของพวกไม่มีปัญญาได้แล้ว เพราะมันจะทำให้รู้สึกแย่เปล่า ๆ ไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือล้มเหลว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวคุณเอง และอีกส่วนมาจากปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ อย่าให้ลมปากเน่า ๆ ของคนพวกนี้มีอิทธิพลเหนือชีวิตคุณ อย่าให้ใครเอาความเชื่อของเขามายัดในหัวของคุณ คิดและไตร่ตรองให้ดีก่อนจะเชื่อสิ่งใด 

                     มันไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด แค่คุณเคารพความคิดเห็นของกันและกัน แค่นั้นคุณก็เป็นผู้ที่มีปัญญาแล้ว

----------------------------------------------------

ฝากไว้เป็นข้อคิดนะคะ ใครเจอคนที่ยัดเยียดความเชื่อเรื่องอะไรบ้าง แชร์ประสบการณ์กันได้ค่ะ 



วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558

Review พระจันทร์เปื้อนฝุ่น



ชื่อ พระจันทร์เปื้อนฝุ่น
เขียน ผักบุ้ง
สำนักพิมพ์ Sugar Beat
จำนวน 424 หน้า
ราคา 250 บาท

                         พระจันทร์เปื้อนฝุ่น เป็นเรื่องที่ต่อจากดาวใต้น้ำ เป็นเรื่องของสาวน้อยอรอินทุ์ กับภีมพล ลูกชายเจ้าของเกาะสุริยันจันทรา

                         นริยา (จากเรื่องดาวใต้น้ำ) แม่ใจร้ายเพราะติดหนี้มากมายจึงเอาอรอินทุ์ไปขาย ภีมพลโกรธมากที่ผู้หญิงคนนี้มาทำให้เกาะของเขาต้องเสื่อมเสีย แต่แหมเจอกันปุ๊บ ก็ปิ๊งทันที เลยหาเรื่องเก็บอรอินทุ์ไว้กับตัว 

เมื่อพระจันทร์ที่ควรจะลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้าถูกดึงลงมาให้เปื้อนฝุ่น
รัศมีแห่งแสงจันทร์ที่เคยเจิดจ้าย่อมหม่นหมองลง
เฉกเดียวกับชีวิตของ อรอินทุ์ เธอต้องเผชิญกับความเลวร้าย
มืดดำของจิตใจมนุษย์ตั้งแต่ลืมตาดูโลก
แม้เมื่อพบกับคนที่พร้อมจะมอบชีวิต ฝากหัวใจ
ก็ยังต้องต่อสู้กับอุปสรรคมากมาย

หลายครั้งที่พระจันทร์เปื้อนฝุ่นดวงนี้เกือบจะอับแสงลงเพราะพ่ายแพ้แก่โชคชะตา
...หากแต่ยังมีเขาที่คอยปกป้อง
ฉุดรั้งให้เธอขึ้นไปทอแสงบนฟากฟ้าได้อย่างสง่างาม

                          อรอินทุ์รักภีมจากใจจริง แต่มณีรินทร์ น้องสาวต่างบิดาต้องการแย่งภีมไป แต่ภีมไม่เล่นด้วย 

                           หยกดารินทร์ (จากเรื่องดาวใต้น้ำ) บอกให้ภีมรับผิดชอบอรอินทุ์ เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมาเจอกันก็ต้องตกใจ เพราะนี่คือการพบกันของคู่แค้นเก่านี่เอง

                           นริยากลับมาแล้ว ฮะ ฮะ ฮะ ร้ายกว่าเดิมเสียด้วย แล้วเรื่องนี้จะจบอย่างไร ต้องติดตามค่ะ สนุกดี ถึงจะน้ำเน่าไปบ้าง ดราม่าไปบ้าง แต่ก็มีฉากกุ๊กกิ๊กน่ารัก ๆ ไม่น้อยเลย

                           และทิ้งท้ายเรื่องด้วยผลกรรมที่แต่ละคนจะได้รับ บอกเลย งานคุณภาพค่ะ





Review ดาวใต้น้ำ



ชื่อ ดาวใต้น้ำ
เขียน ผักบุ้ง
สนพ. Sugar Beat
จำนวน 462 หน้า
ราคา 280 บาท

                   ดาวใต้น้ำเป็นนิยายเล่มแรก ในชุดดาว พระจันทร์ ตะวัน ไม่ใช่นิยายชุดอะไรแต่ทั้งสามเรื่องนั้นมีเรื่องราวที่ต่อเนื่องกัน อ่านแยกได้ หลายคนอาจไม่ให้ความสนใจเพราะมันค่อนข้างน้ำเน่าอยู่ แต่พลอยคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากทีเดียวค่ะ

นภัสกร ชายหนุ่มผู้รักการออกแบบเป็นชีวิตจิตใจ
เกิดมาในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ สังคมยอมรับเขาในฐานะดีไซเนอร์หนุ่มชื่อดัง
มีชีวิตไม่ต่างอะไรจาก ดาว ที่ส่องสกาวอยู่บนฟ้า
เป็นที่รักและชื่นชอบของใครต่อใครมากมาย แต่ใครจะรู้เล่าว่าวันหนึ่ง...
นภัสกรจะถูก รัก ทำลายหัวใจ
จนต้องเลือกเดินหนีอออกมาจากโลกของความเป็นจริง

หยกดารินทร์ โคโยตี้สาวผู้ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่กับความฝัน
แต่เลือกจะดำรงอยู่ในโลกของความจริงอันเจ็บปวด
เพียงเพราะ รัก ที่เอ่อล้นอยู่ในหัวใจ แต่ใครจะรู้เล่าว่าวันหนึ่ง...
ดาว บนเวทีโคโยตี้ที่ถูกประณามจากสังคมว่าเป็นเศษขยะอันน่ารังเกียจ
จะมีคุณค่าต่อหัวใจของนภัสกรเกินกว่าเขาจะยอมสูญเสียได้

บทสรุปความรักของทั้งคู่จะลงเอยเช่นไร
เมื่อคนหนึ่งเจิดจรัสไม่ต่างอะไรจากดาวบนฟ้า
ขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นได้เพียง...ดาวใต้น้ำ

                     นางเอกเป็นโคโยตี้ ปกติเราคงเจอนางเอกน่าสงสารลำบาก ยากจน แต่เรื่องนี้ดราม่าเกิน นางเอก หรือหยก ต้องทำงานหาเงินดูแลทุกคนในครอบครัว และไม่มีงานอะไรจะได้เงินมากเท่าการเป็นโคโยตี้อีกแล้ว

               พลอย น้องสาวของหยกเคยทำผิดพลาดในอดีตจนท้อง หลังจากนั้นนิสัยของพลอยก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนติดหรู ติดสบาย หยกต้องหาเงินส่งน้องเรียน ดูแลหลาน และแม่

               นริยาภรรยาของดีไซเนอร์ชื่อดัง มีชู้ นภัสกรจับได้ แต่เกิดอุบัติเหตุเสียก่อน เพราะไม่อยากจดจำอะไร จึงแกล้งความจำเสื่อม หยกรู้สึกว่าเป็นความผิดของตัวเองจึงรับนภัสกรไปดูแล

                ส่วนนริยาอยากได้สมบัติจึงหาทางพานภัสกรกลับมา เรื่องราวสุดดราม่านี่เองที่ทำให้ดาวใต้น้ำไม่ค่อยถูกใจคนสักเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ดีมาก ๆ เพราะทุกตัวละคร ได้รับผลของการกระทำทุกคน

                ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กรรมมันสนองทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร มันสอนคนอ่านได้ว่าถ้าเราทำแบบนี้ ผลในอนาคตจะเป็นยังไง อาจจะเป็นเรื่องราวที่ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 13 เนื่องจากความรุนแรงในบางบท หากเด็กอ่านและไม่คิดไตร่ตรองว่าควรทำตามอะไร อะไรไม่ควรทำตาม ก็คงจะยุ่งทีเดียว

               เรื่องราวเข้มข้นมาก มีหักมุมด้วย มีดราม่าจนสะเทือนใจ และสุดท้ายก็จบแบบ Happy Ending ไม่ค่อยมีฉากกุ๊กกิ๊กมากนัก แต่อยากให้อ่านค่ะ


วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

ความฝัน กับ ความจริง

                     ในตอนเด็ก พวกเราทุกคนมีความฝันถึงโลกอันสวยงาม อาชีพที่รัก มีเงินมากมาย มีคนนับหน้าถือตา ได้แต่งตัวสวย ๆ ไปชอปปิ้ง ได้ทานอาหารค่ำพร้อมครอบครัว มีชีวิตแต่งงานที่สมบูรณ์แบบ พร้อมสามีที่หน้าตาเหมือนพระเอกที่หลุดออกมาจากจอทีวี

                      นั่นเป็นความฝันของสาว ๆ หลายคนบนโลกใบนี้ เมื่อโตขึ้น รู้จักโลกมากขึ้น เราก็ได้เห็นว่าการจะเป็นให้ได้ดั่งฝันนั้นไม่ง่ายเสียแล้ว แต่ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้ ถ้าเรามีความพยายาม

                      พวกเราหลอกตัวเอง เพ้อฝันถึงอนาคตที่สดใสต่อไป และบอกตัวเองว่ามันต้องมีหนทางแน่นอน

                      ความผิดพลาดอย่างหนึ่งในชีวิตคือ ฉันเชื่อคำพูดของคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ คนเหล่านั้นกำลังหลอกตัวเอง และเขาเอาความเชื่อนั้นของเขามาบอกเรา (เราก็ซื่อ เชื่อตามเขา)

                      ถ้าเราอยากรู้ว่าอนาคตในการทำงานของเราจะเป็นอย่างไร ให้มองดูคนที่ทำมาก่อนหน้าเราสิ!

                      เห็นอะไรบ้างไหม หนี้สินที่เพิ่ม เวลาให้ครอบครัวน้อยลง ร่างกายทรุดโทรม โรคภัยที่มาเยือน แต่ก็ยังคงทำงานต่อไปเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในบ้าน ค่ารักษาพยาบาล และหนี้สิน



                      นั่นแหละอนาคตของคุณ อนาคตของพวกเราทุกคน ครูที่โรงเรียนไม่เคยบอกความจริงเลยว่าเราจะเจออะไรบ้างเมื่อเราก้าวพ้นวัยเรียนไปสู่วัยทำงาน กว่าพวกเราจะรู้ ก็เมื่อเจอกับตัวเองเสียแล้ว และคนรอบข้างก็จะปลอบเราด้วยคำพูดที่ว่า "ใคร ๆ เขาก็เป็นกัน"

                      คำถามเกิดขึ้นในหัวของฉันทันที "แล้วทำไมเราต้องยอมด้วยละ เราทนไปเพื่ออะไร ทนทำไม มันมีทางที่ชีวิตจะดีกว่านี้ ทำไมพวกเขาถึงทน ไม่ดิ้นรนอะไร แล้วยอมรับง่าย ๆ ว่าใคร ๆ เขาก็เป็น ไปที่ไหนก็เจอ" มันกลายเป็นความจริงที่ฉันเองไม่อยากยอมรับ และสงสัยมาจนทุกวันนี้

- บางคนก่อหนี้สิน จนไม่สามารถออกไปไหนได้ ได้แต่ทนทำที่เดิม
- บางคนปลอบตนเอง หลอกตัวเองอย่างภาคภูมิใจว่าฉันได้งานที่เขาไม่มีวันไล่ฉันออกแน่ ๆ ถ้ารัฐไม่ล้ม (ซึ่งเป็นไปไม่ได้)
- บางคนก็ไม่มีความสามารถพอที่จะประกอบอาชีพอื่น ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะหางานใหม่ได้ ถ้าออกไปแล้ว
- บางคนชีวิตพลิกผันประสบอุบัติเหตุใช้เงินมากมาย 
- บางคนก็ถูกโกง 



                       หลาย ๆ เหตุผลที่มองเห็นทำให้ฉันเชื่ออย่างหนึ่งว่ามันไม่มีอะไรแน่นอนเลยในโลกใบนี้ เช่น วันหนึ่งฉันอาจจะมั่นใจว่าฉันจะได้รับมรดก แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงจริง ๆ ฉันกลับไม่ได้รับอะไรเลย

                       อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีอะไรแน่นอนเลย มีนายพรานวางบ่วงที่ชื่อว่าปัญหาอยู่ข้างหน้าเราเต็มไปหมด เราเห็นคนมากมายติดบ่วงนั้น แต่เราก็ยังโง่เดินตามคนข้างหน้าต่อไป เชื่อในสิ่งที่คนข้างหน้าบอก จนตัวเราเองติดบ่วง

                       เป็นเรื่องน่าแปลก ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยเรียนรู้จากความผิดพลาดเลย เราเชื่อคำพูดของคนที่เรานับถือ เราเชื่อเพราะเขาอายุมากกว่า มีประสบการณ์มากกว่า เชื่อโดยไม่ได้คิดไตร่ตรองให้รอบครอบเสียก่อน

                       บางคนโชคดี ที่ความฝันเป็นจริง แต่อีกหลาย ๆ คนก็ต้องยอมรับว่าฝันก็คือฝัน ไม่มีวันเป็นจริง และอีกหลายคนพยายามให้ความฝันและความจริงมาอยู่รวมกันได้ 

                       ฉันเชื่อว่าสิ่งที่จะทำให้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร คืออย่าหยุดฝัน จงฝันต่อไปแล้วมองดูคนที่ประสบความสำเร็จ ทำตามเขา เดินตามเขาไป เมื่อนั้นฝันจะเป็นจริง

                       ถ้าหลอกตัวเอง ปิดหูปิดตา ไม่ยอมรับความจริง เอาแต่เพ้อฝันไปเรื่อย วันหนึ่งที่ความจริงมันเข้ามา คุณจะรับมันไม่ได้ และปลอบตัวเองเหมือนคนอื่น ๆ นั่นแหละ "ใคร ๆ เขาก็เป็นคน"

                       แล้วคุณละ อยากเป็นแบบไหน คนที่ฝันเป็นจริง หรือจำใจยอมรับความจริงที่ไม่ต้องการ



-------------------------------------------------------------------------------

ฝากบทความสั้น ๆ ด้วยนะคะ ใครเอาไปขอเครดิตด้วย คอมเม้นต์ ติติง หรือเสนอความคิดเห็นได้ค่ะ